ตาขี้เกียจ

Updated 2006-11-02 00:00:00


ตาขี้เกียจ

 

                ตาขี้เกียจ (Amblyopia) มาจากคำว่า amblyos ภาษากรีกหมายถึงมืดมัว และคำว่า opia หมายถึง

สายตา amblyos+opia รวมกันจึงหมายความว่า ภาวะสายตามัว ซึ่งอาจเป็นตาข้างเดียวหรือสองข้าง ส่วน

มากมักเป็นตาข้างเดียว โดยไม่พบผิดปกติหรือโรคที่เป็นสาเหตุ หรืออีกนัยหนึ่งก็คือภาวะตามัวทั้งๆ ที่

ส่วนของตาที่เกี่ยวข้องกับการมองเห็นเป็นปกติดีทุกอย่าง ในภาษาอังกฤษเรียกว่า lazy eye หมายถึง ไม่เป็น

อะไรหรือแม้ว่าจะพบสาเหตุและแก้ไขแล้ว แต่ตาก็ยังมองไม่เห็น

 

อุบัติการ

                อุบัติการของภาวะนี้ พบได้ในประชากรวัยเด็กที่มีอายุระหว่าง 2-3 ปี ถึงร้อยละ 2.0 ถึง 2.5 และจะ

ลดลงไปเรื่อยๆ จนมีอายุ 6-7 ปี

 

การพัฒนาการเห็น

            เด็กแรกเกิดถึงจะมีดวงตาปกติแล้วแต่ก็ยังมองเห็นไม่ชัดเจน การพัฒนาการมองเห็นจะเริ่มตั้งแต่เกิด

จนสายตาเห็นชัดเท่าผู้ใหญ่เมื่ออายุประมาณ 6-7 ปี พอเด็กเริ่มลืมตาจะมีแสงสว่างกระทบตาผ่านส่วนต่าง ๆ

ไปถึงจอตา ที่จอตามีเซลล์ประสาทรับรู้การเห็นจะส่งสัญญาณไปยังสมองส่วนรับรู้การเห็นทำให้เด็กค่อยๆ

เห็นมากขึ้น ช่วงที่มีการพัฒนาสูงสุดในอายุ 2-3 ปีแรก หากในช่วงนี้มีสิ่งกีดขวางมิให้แสงจากวัตถุไป

กระตุ้นจอตาไม่ว่ามาจากสาเหตุใดก็ตาม จอตาก็จะไม่เกิดการเรียนรู้ นานเข้าก็เลยมิอาจเรียนรู้ แม้เมื่อโตขึ้น

จะมารับการรักษาขจัดสาเหตุตามัวออกไป เด็กก็มิอาจกลับมาเห็นได้ ซึ่งนักวิทยาศาสตร์เคยทดลองในแมว

และลิงโดยเย็บหนังตาข้างหนึ่งให้ปิดไว้ตั้งแต่แรกเกิดผลปรากฏว่าตาของแมวและลิงข้างนั้นจะบอด เป็นการ

พิสูจน์ภาวะนี้

                การพัฒนาการเห็นของคนเรานั้นจะสมบูรณ์ที่สุดหรือมีสายตาปกติ ต่อเมื่อตาทั้ง 2 ข้างมองเห็นได้

ชัด การจะเห็นได้ชัดนั้นตาแต่ละข้างต้องมีกำลังหักของแสงจากกระจกตาและแก้วตาได้สมดุลกับความยาว

ของลูกตา นอกจากนี้ต้องมีตัวกลางที่แสงผ่านเข้าไปในตาใสปกติ นั่นคือไม่มีโรคภายในตา มีจอประสาทตา

และประสาทตาตลอดจนสมองที่รับรู้การเห็นได้ดี การที่ตาของเราจะมีความสามารถสูงสุดในการมองเห็น

ภาพ แม้ว่าขนาดเล็กๆ เป็น 3 มิติได้ ตาทั้ง 2 ข้างจะต้องมีการทำงานประสานกัน

                ภาวะตาขี้เกียจเกิดเฉพาะในเด็กเท่านั้น เพราะเมื่อเกิดการเรียนรู้การเห็นแล้ว หากเมื่อโตขึ้น เกิดมี

โรคทำให้สายตามัวลง เมื่อรักษาโรคนั้นหายแล้วแต่ตาก็คงกลับมาเหมือนเดิม ดังนั้น โรคบางอย่างถ้าเกิดใน

ผู้ใหญ่ยังพอจะรอได้ แต่ถ้าเกิดในเด็กแรกเกิดรอไม่ได้เพราะเด็กจะเกิดภาวะตาขี้เกียจขึ้น

 

 

 

 

 

 

สาเหตุ

1.     ตาเหล่ โดยเฉพาะในเด็กที่เป็นตาข้างเดียวชนิดตาเหล่เข้าใน กล่าวคือ ถ้าตาข้างใดข้างหนึ่งเหล่

เป็นประจำ ตาข้างที่เหล่จะไม่รับรู้การเห็น ทั้งนี้เพราะคนที่ตาเหล่ข้างหนึ่งไม่ว่าจะมองไปทางใด ตาดีจะเห็น

ภาพหนึ่ง ส่วนตาที่เหล่จะเห็นอีกภาพหนึ่งในเวลาเดียวกัน สมองจะเกิดการสับสนว่าภาพใดเป็นภาพที่ถูก

ต้อง จึงต้องมีการกดการมองเห็นในตาข้างหนึ่งเพื่อลบภาพไปภาพหนึ่งซึ่งสมองจะสั่งการไปยังตาข้างที่เหล่

เมื่อภาพที่เกิดจากตาที่เหล่ถูกกดนานเข้าก็จะไม่รับรู้การเห็นอีกต่อไป สำหรับคนที่ตาเหล่ชนิดผลัดกันเป็นคือ

บางครั้งเป็นตาขวา บางครั้งเป็นตาซ้าย ภาวะเช่นนี้จะไม่เกิดภาวะตาขี้เกียจขึ้น เพราะตาทั้งซ้ายและขวามี

เวลาที่มองเห็นอยู่บ้าง แต่มีข้อเสียตรงที่ตาทั้ง 2 ข้าง ไม่ทำงานร่วมกันคือถ้าตาขวาทำงานตาซ้ายก็จะไม่รับรุ้

การเห็น ถ้าตาซ้ายทำงานตาขวาก็จะไม่เห็น ทำให้การมองเห็นภาพเป็น 3 มิติบกพร่องไป

2.     สายตาที่แตกต่างกันในตา 2 ข้าง อาจจะเป็นสายตาสั้นที่ต่างกันมากในตา 2 ข้าง หรือสายตาข้าง

หนึ่งปกติ อีกข้างสายตาผิดปกติ ตาที่ปกติหรือตาที่สั้นน้อยกว่าจะมองเห็นภาพได้ชัดกว่า ตาที่ไม่ชัดจึงค่อยๆ

ถูกกดและลดบทบาททำให้มองไม่เห็นตลอดไป โดยเฉพาะในคนที่มีสายตายาวต่างกันมากหรือข้างหนึ่งปกติ

อีกข้างหนึ่งสายตายาว เพราะตาข้างที่มีสายตายาวมองภาพ ไม่ชัดทั้งไกลและใกล้ส่วนคนสายตาสั้นยังมีการ

เห็นชัดในกรณีที่ภาพอยู่ใกล้ จึงมีการเรียนรู้การเห็นชัดได้บ้าง จึงเกิดภาวะเช่นนี้น้อยกว่า

3.     สายตาที่ผิดปกติมากๆ ในตาทั้ง 2 ข้าง แม้ทั้ง 2 ข้างจะไม่ต่างกันมาก เช่น สายตาสั้นมาก สายตา

ยาวมาก และสายตาเอียงมาก ผู้ป่วยในกลุ่มนี้อาจเกิดภาวะนี้ได้ในตาทั้ง 2 ข้าง เนื่องจากตามองไม่ชัดทั้ง 2

ข้าง มาตั้งแต่เด็ก เด็กที่สายตาผิดปกติมากๆ และไม่ยอมใส่แว่นนานเข้าหากเกิดภาวะนี้ทำให้แก้ไขได้ยาก

4.     เด็กที่เกิดมาพร้อมกับโรคตาที่ทำให้ตามัว ทำให้ตาข้างนั้นไม่ใช้งาน อาจเรียกว่าตาขี้เกียจ เนื่อง

จากไม่เคยใช้งานมาก่อน เช่น เป็นต้อกระจกแต่กำเนิด กระจกตาเป็นฝ้าขาวในมารดาที่เป็นหัดเยอรมัน

ระหว่างตั้งครรภ์ หนังตาตก ปานแดงขนาดใหญ่ที่หนังตาบนทำให้หนังตาตกหนักห้อยลงมา เป็นต้น ที่เห็น

ชัดได้แก่ โรคต้อกระจก ถ้าเป็นในผู้ใหญ่เมื่อลอกต้อออกก็มองเห็นทันที แต่ถ้าเป็นมาแต่กำเนิดไม่ได้รับการ

รักษาผ่าตัดลอกต้อเมื่ออายุมากขึ้นสายตาจะดีขึ้นไม่มาก หรือในเด็กบางคนที่เกิดมาหนังตาตกหนึ่งข้าง

มารดาไม่ยอมให้ผ่าตัดโดยเห็นว่าลูกยังเล็กและเกรงว่าจะได้รับอันตรายจากการใช้ยาสลบ มีหลายรายที่เมื่อ

โตขึ้นมารับการผ่าตัดแก้ไขแล้ว ผลปรากฏว่าตาข้างนั้นมีการเห็นน้อยมาก เนื่องจากภาวะนี้

5.     อาจเกิดจากการเป็นโรคตาบางอย่าง ซึ่งได้รับการรักษาโดยวิธีปิดตานานเกินไป ทำให้ตาข้างที่

ถูกปิดเกิดภาวะนี้ขึ้น

6.     เด็กบางคนอาจได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นตาขี้เกียจแต่กำเนิด ซึ่งอาจจะไม่ใช่ภาวะตาขี้เกียจอย่างแท้

จริง เด็กบางคนเกิดมาตามองไม่เห็น เนื่องจากการตรวจทั่วๆ ไป ตรวจไม่พบพยาธิสภาพเมื่อตรวจโดยใช้

เครื่องมือพิเศษจะพบความผิดปกติของเซลล์ประสาทที่รับรู้การเห็น

 

 

 

 

 

 

การวินิจฉัย

                ค่อนข้างจะยุ่งยากเพราะเด็กไม่สามารถบอกได้ว่ามองเห็นหรือไม่ ผู้ปกครองก็ไม่ทราบเพราะเด็กยัง

มีสายตาที่ดีอีกข้างจึงทำอะไรได้เช่นเด็กปกติ การวินิจฉัยคงต้องเริ่มจากการสังเกตตามสาเหตุของการเกิด

ภาวะนี้ เช่นมีประวัติโรคนี้ในครอบครัวหรือมีคนตาเหล่ในครอบครัว หรือมีสายตาผิดปกติที่อาจแสดงออก

โดยชอบหรี่ตาเวลามองและดูอะไรมักจะเข้าไปชิด ตลอดจนมีโรคตาบางอย่าง เช่น หนังตาตก โรคต้อกระจก

เป็นต้น เมื่อสงสัยควรปรึกษาจักษุแพทย์ซึ่งจะมีวิธีทดสอบสายตา แม้ว่าเด็กจะไม่ร่วมมือและให้การตรวจตา

อย่างละเอียด ถ้าพบว่าเด็กมีสายตาข้างใดข้างหนึ่งหรือทั้ง 2 ข้าง ผิดปกติโดยไม่พบโรคอะไรที่เป็นต้นเหตุ

แพทย์อาจต้องตรวจลักษณะบางอย่างซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของภาวะตาขี้เกียจนี้ เช่น สามารถอ่านอักษรที่

เป็นตัวเดียวได้ ในขณะที่อ่านอักษรแม้ขนาดเท่ากันแต่อยู่เป็นแถวหลายๆ ตัวไม่ได้ หรือเมื่อใช้เครื่องกรอง

แสง ทำให้เด็กภาวะนี้มองเห็นได้ดีขึ้น เป็นต้น ถ้าแน่ใจว่าเด็กเริ่มมีภาวะตาขี้เกียจ แพทย์จะตรวจหาสาเหตุ

ที่เกิดร่วมด้วยที่อาจเป็นได้ดังกล่าวข้างต้น และแก้ไขภาวะต่างๆ ก่อน

 

การแก้ไขและการป้องกัน

            เมื่อเกิดภาวะตาขี้เกียจขึ้นแล้วต้องเริ่มด้วยการแก้ไขต้นเหตุและตามด้วยการกระตุ้นให้ตาที่มัวกลับ

มาใช้งาน วิธีที่ง่ายที่สุดคือ การปิดตาข้างที่ดี เพื่อให้ตาข้างที่ไม่ดีทำงานแต่ทางปฏิบัติอาจไม่ง่ายนัก เพราะว่า

เด็กมักจะไม่ยอมให้ทำดังกล่าวจึงเป็นเรื่องที่มารดาจะต้องพยายาม หรือแพทย์อาจจะแนะนำให้ใช้ยาหยอดตา

บางชนิด ซึ่งทำให้ตาข้างดีพร่ามัว เพื่อว่าเด็กจะได้ใช้ตาข้างที่ไม่ดีทำงานบ้าง โดยทั่วไปภาวะนี้ต้องรักษาตั้ง

แต่เด็ก หากปล่อยไว้จนอายุถึง 10 ปีค่อยมารักษามักจะไม่ได้ผล

                เพื่อป้องกันภาวะเช่นนี้ควรนำเด็กไปตรวจสายตา สมาคมจักษุแพทย์และกุมารแพทย์แห่งสหรัฐ

อเมริกา แนะนำให้ตรวจตาเด็กเป็นระยะๆ ตั้งแต่แรกคลอด เมื่ออายุ 6 เดือน อายุ 3 ปีหลังจากนั้นควรตรวจ

ทุกๆ ปี หรืออย่างน้อยปีเว้นปี คาดกันว่าในเด็กก่อนวัยเรียน 1 ใน 20 คน จะมีปัญหาทางตา และร้อยละ 2

ปล่อยให้เกิดภาวะตาขี้เกียจซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเสียดายเพราะเด็กน่าจะมีสายตาที่ดีทั้ง 2 ข้าง แต่กลับต้องเห็น

เพียงข้างเดียว ดังนั้นเมื่อโตเป็นผู้ใหญ่จึงมีสายตาที่ด้อยกว่าผู้อื่น เหตุจำเป็นต้องตรวจวัดสายตาเด็กก่อน

วัยเรียน มีดังนี้

1.     เด็กไม่ทราบว่าการมองเห็นของตนเองด้อยกว่าคนอื่น เพราะเห็นอย่างนั้นมาตั้งแต่เกิด

2.     เด็กเล็กๆ อาจบอกไม่ได้ว่าตนเองมองไม่ค่อยเห็น

3.     เด็กไม่บอกเพราะไม่รู้สึกเจ็บปวด

4.     ปัญหาที่ร้ายแรงทางตาบางอย่างอันจะทำให้ตาสูญเสียการมองเห็น นอกจากไม่เจ็บปวดแล้ว

ยังแลดูเหมือนคนปกติ ไม่น่าเกลียด ยกเว้นรายที่เป็นตาเหล่อย่างชัดเจน

 

 

 

 

 

 

ผลของภาวะสายตามัว

                ภาวะตาขี้เกียจเป็นเหตุของความบกพร่องทางสายตาอย่างหนึ่ง การเอาใจใส่ของผู้ปกครองทำให้

วินิจฉัยได้เร็ว การรักษาก็จะได้ผลดี หากละเลยก็สายเกินแก้ ที่สำคัญก็คือ หากเด็กมีความบกพร่องทางสายตา

ก็จะเป็นอุปสรรคต่อการศึกษาเล่าเรียน โดยเฉพาะการอ่าน การเขียนซี่งเป็นพื้นฐานที่สำคัญยิ่ง และเมื่อมีตา

ข้างหนึ่งขี้เกียจเสียแล้ว คุณภาพการมองเห็นจะด้อยกว่าคนอื่น การเลือกอาชีพที่ต้องใช้สายตาที่ละเอียดย่อม

ทำไม่ได้ เป็นการบั่นทอนศักยภาพของผู้นั้นไป